“จงเป็นมนุษย์ที่แท้ อย่าเป็นแค่เหยื่อของอารมณ์”
อีกหนึ่งเคล็ดลับการเดินทางด้านในตลอดชีวิตของ เสถียรสุต ที่ถ่ายทอดผ่านสารคดีอัตชีวประวัติของท่านเรื่อง ' ' หรือ ‘ก้าวย่างแห่งปัญญา’ ที่ได้รับรางวัล Santa Barbara Film Festival 2005 ในฮอลลีวู้ด โดยมี วิคตอเรีย โฮลท์ เป็นผู้เขียนบท กำกับ และอำนวยการสร้าง จากการติดตามวิถีชีวิตของท่านยาวนานถึง 2 ปี หลังความประทับใจแรกในการพบกันในงานประชุมสุดยอดสันติภาพโลกที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2001
'A Walk of Wisdom' หรือ ก้าวย่างแห่งปัญญา กลายเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ชาวโลกมายาในฮอลลีวู้ดในปีนั้นต้องหลั่งน้ำตาให้ด้วยความปีติว่า “แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตเปรียบดั่งดวงประทีปที่ฉายแสงแห่งความหวัง มาสู่ผู้คนบนโลก งดงาม อ่อนโยน และไพเราะดังบทกวี” ภาพยนตร์นี้ได้ฉายในโรงภาพยนตร์อีจีวี สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ เมื่อค่ำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 เนื่องในวาระครบ 25 ปีแห่งการเดินทางด้านในของท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ท่านใช้ ‘ภาพยนตร์’ เป็นวิธีแสดงธรรมแบบ Spiritual Entertainment ไปยัง 60 ประเทศทั่วโลก ด้วยความเรียบง่าย
จัดฉายอีกครั้งที่ เสถียรธรรมสถาน กรุงเทพมหานคร ในวันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2567 เวลา 19.00 – 19.30 น. เนื่องในวาระ ‘3 ปี แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต คืนสู่ธรรมชาติ’
บทสัมภาษณ์ของ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เรื่อง ‘นักธรรม โลกมายา GROW INNER’
นักธรรม โลกมายา Grow Inner
“ให้ ธรรมะนำหน้า แล้วแม่ก็จะเป็นตัวตนเล็กๆ เหมือนเดิม คนจะรู้จักแม่มาก ก็เพราะแม่ทำงานมาก แต่ตัวตนแม่ต้องเล็กลงนะ แล้วงานจะยิ่งใหญ่ นั่นคือเป้าหมาย และคือการอุทิศชีวิตของแม่”แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต..."มนุษย์ไม่ได้เป็นเหยื่อของอารมณ์" นี่คือ Talk of the town สารคดีชีวิตรางวัล Santa Barbara Film Festival 2005 ในฮอลลีวู้ดต้นปีนี้ (พ.ศ. 2548) 'A Walk of Wisdom' หรือ ก้าวย่างแห่งปัญญา กลายเป็นหนังที่ชาวโลกมายาต้องหลั่งน้ำตาให้ด้วยความปีติ ไม่เว้นแม้แต่สตีเฟน ไซมอน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง What Dreams May Come และ Somewhere in Time เขาได้กล่าวว่า แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตเปรียบดั่งดวงประทีปที่ฉายแสงแห่งความหวัง มาสู่ผู้คนบนโลก งดงาม อ่อนโยน และไพเราะดังบทกวี ... และเมื่อค่ำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา (พ.ศ. 2548) ชาวไทยส่วนหนึ่งก็ได้ร่วมชมหนังเรื่องดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากเป็นวันครบ 25 ปีแห่งการเดินทางด้านในของแม่ชีศันสนีย์
แม่ชีศันสนีย์กล่าวในวันแถลงข่าว 'A Walk of Wisdom' ในโรงหนังอีจีวี สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์เมื่อค่ำวันนั้นว่า ...วันนี้เป็นวันบวชของข้าพเจ้าเมื่อ 25 ปีก่อน เวลาเย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้เป็นวันแรกที่เราต้องฝึกนอนอย่างชนิดที่ต้องทิ้งความสะดวกสบายของ บ้านเรือน มีหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตของเราได้เรียนรู้และเข้มแข็ง
"ข้าพเจ้าบวชตั้งแต่อายุ 27 ปี เวลาที่ถอดเมคอัพออกจากหน้าจะซีดเหมือนจิ้งจก มันดูเหมือนเด็กมาก จนหลวงพ่ออุปัชฌาย์เรียกแม่ชีว่า "แม่ชีคุณหนู " แล้วท่านก็จะอดทนต่อความดื้อดึง โต้แย้งของเรามาตลอดระยะเวลา 7 ปีแรกของการบวช ขณะที่เราดื้อ หลวงพ่อจะสอนเราเสมอว่า เราไม่ได้ทุกข์เพราะคนอื่นทำนะ แต่เราทุกข์เพราะเราคิดผิดอย่างไร"และก่อนที่หลวงพ่อของแม่ชีจะมรณภาพ แม่ชีเล่าว่า ท่านวางแผนให้เราทำงานในแผ่นดินที่ว่างเปล่า โดยบอกเราว่า ที่ตรงนี้ดีนะ คุณหนู คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรได้ไหม" เราก็บอกท่านว่า ท่านสอนว่าสมบัติเป็นทุกข์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วจะให้ซื้อสมบัติทำไม ท่านบอกว่า ถ้ามีปัญญาสมบัติจะไม่ทุกข์ หลังจากนั้นเราฝึกว่า สิ่งที่เราได้มาคือสมบัติของคนตายจาก ...
"หลังจากนั้น 'เสถียรธรรมสถาน' ก็เกิดขึ้นจากสมบัติของคนตายจาก ซึ่งได้ช่วยลูกผู้หญิงที่ถูกทำร้าย และเพื่อนร่วมทุกข์อีกเป็นแสนๆ คนในช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมาทั้งนี้ แม่ชีศันสนีย์ไม่เคยลืมที่จะกล่าวถึงชายผู้หนึ่งซึ่งเคยอยู่เคียงข้าง และปัจจุบันยังเป็นกำลังอันสำคัญที่ทำให้เสถียรธรรมสถานดำรงอยู่ได้ และในวันแถลงข่าว....
"ต้องขอบคุณ คุณเสถียร เมื่อ 25 ปีที่แล้ว คุณเสถียรอนุญาตให้เรามาบวช ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่บนหนทางของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ทำให้วันนี้คุณเสถียรก็อยู่ในโรงภาพยนตร์นี้ ปรบมือให้คุณเสถียรด้วยค่ะ เพราะถ้าเธอไม่ยกความรักของเธอให้อยู่เหนือเงื่อนไขของความเห็นแก่ตัว เราก็ไม่สามารถทำงานใน 25 ปีนี้อย่างสะดวกใจ"
และสุดท้าย A Walk of Wisdom จะไม่สามารถปรากฏบนจอภาพยนตร์ได้ ถ้าไม่มีการพบกับวิคตอเรีย โฮลท์ เธอเปรียบเหมือนน้องสาวทางธรรมของแม่ชีศันสนีย์ ธรรมะจัดสรรให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณ เพื่อสินติภาพโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และหลังจากนั้นสารคดีชีวิตลูกผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกเปิดเผยขึ้นทีละเล็กทีละ น้อย จนกลายเป็นเรื่องราวที่จะออกฉายพร้อมกันใน 60 ประเทศทั่วโลกในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
คุณแม่เคยเล่าว่า ถนัดในการใช้สื่อแสดงธรรม ตอนนี้คุณแม่ใช้ภาพยนตร์เป็นสื่ออย่างไร จากสมมติไปจนถึงวิมุตติ คือสามารถใช้มายาเพื่อให้เราก้าวข้ามไปหาความจริง
ก่อนอื่นแม่ต้องขอบคุณที่หนูตั้งคำถามที่ดีมากคำถามหนึ่ง ในการทำงานเพื่อพระธรรม เพราะการที่เราเห็นสมมติเพื่อการวิมุตติ คือเรารู้จักใช้สมมติเพื่อการหลุดพ้น เราไม่ใช้สมมติบัญญัติเพื่อความยึดมั่นถือมั่นอันนำมาซึ่งความทุกข์ แต่เราจะอยู่ในโลกอย่างไร อย่างไม่เปื้อนโลก
ถ้าเราเข้าใจโลก ถ้าเรารู้เท่าทันโลก อยู่กับโลกอย่างคนที่มีพัฒนาการภายในจิตใจ ที่จะมองเห็นสิ่งสมมติบัญญัติตามความเป็นจริงว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ เกิดขึ้น และใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เพื่อการเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่น กระบวนการหลังเรียกว่าปัญญา คือเห็นธรรมชาติ เข้าใจกฎของธรรมชาติว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจบลงไม่ว่าเราจะมองธรรมชาติอย่างคนที่ถูกใจเราก็เพลินชอบ ถ้าไม่ถูกใจเราก็เพลินชัง เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่เรามองเห็นตามความเพลินชอบ เพลินชังเป็นการมองธรรมชาติตามกิเลส แต่ถ้าเรามองธรรมชาติอย่างเข้าใจธรรมชาติ เราก็จะเห็นว่า ทั้งชอบทั้งชัง อนิจจังทั้งคู่
เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นสมมติบัญญัติอย่างคนที่เข้าใจว่า ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนักเน้อ ถ้ายึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าเผื่อขันธ์ทั้ง ๕ คือชีวิตของเราที่ใช้ไปในโลกนี้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เราก็จะใช้ชีวิตนี้อย่างคนที่เกิดมาเพื่อให้โลกภายใน ใช้การเกิดคราวนี้เพื่อการไม่เกิดอีกที่เรียกว่าทุกข์ ทำให้ชีวิตที่สงบเย็นภายในเป็นประโยชน์อย่างกว้าขวาง ไม่เลือกปฏิบัติ หมายความว่า ความเห็นเฉพาะตัวอันคับแคบที่เป็นความเห็นแก่ตัวจะไม่มี นี่คือการใช้สมมติบัญญัติเพื่อการเดินทางไปสู่การวิมุตติคือหลุดพ้นได้
สมมติบัญญัติที่ว่าคืออะไรบ้างคะ
ตัวเราของเรา ทุกๆ อย่างที่เรายึดไว้ แม่จึงใช้ความสนุกสนานทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคนคือโทรศัพท์มือถือจะสนทนาให้เกิดสติ ปัญญาได้อย่างไร หรือการสื่อสารออนไลน์ เว็บไซต์ วิทยุ ไปจนถึงการสนทนาโดยผ่านกล้องทีวี ดาวเทียม ผ่านฟิล์มภาพยนตร์ ผ่านไมโครโฟนที่ใช้บทเพลง ผ่านการเคลื่อนไหวกายและใจ ต้องตั้งมั่นรู้ตื่นและเบิกบาน อยู่ในกระบวนการสร้างความสนุกสนานทางปัญญาที่ใช้มีเดีย ใช้เครื่องมือสื่อสารเป็นยุทธวิธีที่นำไปสู่ความสนุกสนาน แม่เรียกว่าโลกเป็นมายา แต่เราสามารถใช้โลกมายา ใช้กระบวนการของสื่อนี้เข้าไปนำเสนอเป็นกลยุทธ์ที่มียุทธศาสตร์ที่จะทำให้คน รอดพ้นจากความทุกข์ แล้วแม่ก็จะชวนให้รัฐบาลสนับสนุน Spiritual Entertainment ที่แม่วางแผนอยู่ แล้วแม่ก็เชื่อว่า นายกฯ ซื้อความคิดของแม่นะ
แม่อาสาทำงานออกมาให้ดูก่อนเลยว่า A Walk of Wisdom ที่เขียนบท กำกับการแสดง และอำนวยการสร้างโดย วิคตอเรีย โฮลท์ ชนะการประกวดในงาน Santa Barbara Film Festival 2005 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2548 ที่ผ่านมา เป็นหนังเรื่องเดียวที่ฮอลลีวู้ดเขาพูดเลยว่าใน 20 ปีของการประกวดหนัง ไม่มีใครดูล้นหลามเท่ากับเรื่อง A Walk of Wisdom เลยแทบจะเกิดการจลาจลเลยว่าทำไมซื้อตั๋วแล้วไม่ได้ดู เพราะคนฮอลลีวู้ดเข้าไปดูกว่าครึ่งโรงแล้ว เขาจึงต้องเปิดรอบพิเศษ เพราะไม่ได้เป็นหนังที่ดูแล้วจบ แต่การดำเนินเรื่องในชีวิตไม่จบ จิตใจของคนดูกลับมาที่ตัวเอง กลับมาเดินทางอย่างมีสติปัญญามากขึ้น เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้ที่จะทำให้ตัวเองมีย่างก้าวแห่งปัญญา
ต่อไปคือใช้สื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์ ยุทธศาสตร์ของการใช้ภาพยนตร์ ละคร ดนตรี หรือแม้แต่เสียงคำสอน บทสวดมนต์ที่จะผ่านสื่อเทคโนโลยีที่จะทำให้คนในโลกนี้ เข้าถึงกระแสของการดำเนินชีวิตที่สงบเย็นเพราะอิทธิพลของสื่อเข้าไปอยู่ในทุกบ้าน ทุกชุมชน ทุกพื้นที่ในโลกนี้ สื่อนำเสนออะไรคนก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าสื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้คนตื่นจากอวิชชา แสดงว่า สื่อซึ่งดูเหมือนเป็นมายา กำลังเข้าไปเพื่อจะทำให้คนลดละตัณหาโดยใช้กระบวนการทางมายา ความสนุกสนาน แต่เป็นความสนุกสนานทางปัญญาเอ็นเตอร์เทนเมนท์ มันต้องทำงานโดยผ่านเครื่องมือสื่อสาร
ตอนนี้เราจะทำ Spiritual Entertainment คือความสนุกสนานทางปัญญา และนี่คืองานของเราจากนี้ไป แม่จะใช้การทำงานที่ใช้ยุทธศาสตร์ทำให้คนสนุกสนานทางปัญญา โดยใช้กระบวนการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทุกแขนงเลยเอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ความสนุกสนานเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ที่จะทำให้เขามีชีวิตอย่างคนที่รู้ตื่นและเบิกบาน
เราห้ามเด็กไม่ให้สนุกสนานไม่ได้ ถ้าเราบอกเด็กๆ ทุกอย่างต้องช้าๆ เชื่องๆ เย็นๆ เด็กๆ เขาไม่เอาหรอก โลกของเด็กเป็นโลกที่สนุกสนาน แต่ในความสนุกนั้นต้องทำให้เด็กเห็นกระบวนการในการใช้ชีวิตที่ไม่ทุกข์ด้วย นะ มันก็เป็น Spiritual Entertainment ทำไมการให้ธรรมะจะต้องแยกเด็กออกจากครบครัว แยกเด็กออกจากสังคม ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่เข้าไปถึงหัวใจของคน และไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถอยู่กับสมมติบัญญัติได้อย่างมีวิมุตติคือความหลุดพ้น นั่นคือธงของแม่ที่จะไปให้ถึง
ธงของคุณแม่คืออะไรคะ
การพ้นทุกข์ร่วมกัน นั่นหมายความว่า กระบวนการเคลื่อนธรรมะออกไป เราต้องใช้เอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นเครื่องมือ แม่ก็ใช้ภาพยนตร์เลย เพราะภาพยนตร์ออกไปทั่วโลก ถ้าเราบอกว่า มาแม่จะแสดงธรรม เธอมาฟังธรรม คนคงไม่สนุก แต่เป็นการง่ายมากที่แม่จะบอกไปดูหนังด้วยกันไหม แล้วในหนังเรื่องนั้น มันมีสารที่จะส่งถึงคนดูชนิดที่เรียกว่าอึ้งไปเลย
แม่เห็นคนอเมริกันดูเรื่อง A Walk of Wisdom แล้วปาดน้ำตา บางทีก็มีเสียงหัวเราะ บางทีก็รื่นเริง เพราะฉะนั้นการทำหนังให้คนดูเห็นอารมณ์ของตัวเอง แล้วเข้าใจชีวิตของตนเอง ตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าเกิดมาทำไมฝรั่งบางคนบอกกับแม่ว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วตัวตนเขาเล็กลงเลย เขาเคยคิดว่าเขาเก่ง เขาใหญ่ เขามีอำนาจ มีความพร้อมที่จะทำอะไรให้โลก พอเขาดูหนังเรื่องนี้แล้วเขาต้องถามตัวเองเลยว่า เขาต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงของชีวิตก่อนหรือเปล่า แล้วจึงจะใช้อำนาจของเขาเป็นไปเพื่อความสงบเย็นอย่างกว้างขวาง
ส่วนวัยรุ่นอเมริกันเขาบอกว่า เขาไม่เคยตั้งคำถามว่าเกิดมาทำไมเลย เขาดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าต้องตั้งคำถามอย่างนี้บ้าง บางคนมีปัญหากับครอบครัว หรือลูกที่มีปัญหากับพ่อแม่และคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก ดูหนังเรื่องนี้แล้วต้องกลับไปกราบพ่อแม่เลยเป็นการดำเนินตัวอย่างชีวิตที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นการนำเสนอมิติทางปัญญาเกี่ยวกับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้นมีอยู่จริง
คนไทยจะได้ดูไหมคะ
ในไทยยังไม่ได้ดูทั่วไป แต่ในกาละที่เขาอยากทำอะไรให้แม่บ้าง เพราะแม่เสียสละให้เขามาถ่ายชีวิตเรานะ ไม่มีค่าตัว เขาก็เลยขอให้นำ A Walk of Wisdom มาฉายในเมืองไทยในวันที่แม่บวชครบ 25 ปี คือวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 นี้ แม่บวชในเวลาเย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้ เขาฉายที่เมืองไทยให้แม่เป็นรอบพิเศษที่แม่เชิญคณะรัฐบาล วุฒิสมาชิก คนทำงานด้านสังคม รวมทั้งเอ็นจีโอด้านต่างๆ รวมทั้งภาคธุรกิจมาดูสิ่งที่น่ารักคือ เขาไม่ได้ฉายที่เมืองไทยที่เดียว แต่ฉายที่เมือง Santa Barbara ฉลองพร้อมกันเลย พอเดือนมีนาคม หนังเรื่องนี้จะอยู่ในมือคน 60 ประเทศทั่วโลกจะได้ดูพร้อมกัน
เป็นการเคลื่อนคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าผ่านวิถีชีวิตของผู้หญิงเล็กๆ ที่เรียบง่าย และมีหัวใจที่จะรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เราจะรักอย่างที่สิ่งข้างหน้าเป็น เราจะไม่ใช้ชีวิตที่จะเกลียดชังใคร ไม่มีใครควรค่าแก่การเกลียดชังในชีวิตของแม่ จากนี้ไปแม่จะวางแผนการทำยุทธศาสตร์ของการทำ Spiritual Entertainment โดยเอาธรรมะเป็นสารที่จะส่งไปทั่วโลก
หัวใจของ Spiritual Entertainment เป็นอย่างไรบ้าง
ให้ธรรมะนำหน้า แล้วแม่ก็จะเป็นตัวตนเล็กๆ เหมือนเดิม คนจะรู้จักแม่มาก ก็เพราะแม่ทำงานมาก แต่ตัวตนแม่ต้องเล็กลงนะ แล้วงานจะยิ่งใหญ่ นั่นคือเป้าหมาย และคือการอุทิศชีวิตของแม่25 ปี เราได้โอกาสจากสังคมมามาก เราได้โอกาสจากข้าวของชาวบ้านที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่แม่เป็นนักบวช แม่ก็ไม่ได้ซื้อข้าวกิน ชาวบ้านดูแลแม่ แล้วแม่ก็ทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญที่ดีของพระศาสนา พอถึงเวลานี้ แม่รู้แล้วว่าแม่เกิดมาเพื่ออะไร และเป้าหมายของแม่ก็คือ แม่ควรจะอยู่กับสมมติอย่างคนที่เข้าสู่หนทางแห่งการวิมุตติอย่างไร โดยวิธีการใด
แม่ต้องขอบคุณเสถียรธรรมสถานที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของแม่ และทุกครั้งที่แม่ไปนำภาวนาทั่วโลก วันที่แม่คุยกับคุณ เป็นวันที่อเมริกาเชิญแม่ไปนำภาวนาในฮอลลีวู้ด ซึ่งจะมีคน 400 คน แล้วเป็นคนที่สนใจเรื่องงานสันติภาพ และแม่ก็จะไปนำภาวนา แต่เนื่องจากคุณพ่อของแม่เสียเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ คือแม่กลับมาเมื่อวันที่ 10 แม่เลยต้องโทรกลับไปทางอเมริกาว่า แม่คงต้องอยู่กับคุณพ่อในช่วงสุดท้าย งั้นวันที่ 17 ไปไม่ได้ แม่ยังคงทำงานร่วมกับเขา และเขาบอกว่าในงานจะนำภาวนาให้คุณพ่อของแม่ และเขาจะจัดงานให้แม่ไปนำภาวนากับคนฮอลลีวู้ดอีกทีหนึ่งเพราะถ้าเผื่อแม่เปิดใจคนในฮอลลีวู้ดได้
จากนี้หนังเกี่ยวกับ Spiritual Entertainment จะออกไปทั่วโลกเลย ตอนนี้แม่ทำงานกับ สตีเฟน ไซมอน เพื่อสร้างงานนี้ร่วมกันด้วย สตีเฟน มีเครือข่ายเด็กๆ ทั่วโลกที่เขาจะทำหนังของเขากันเอง ดูกันเองในนาม Spiritual Cinema Circle
มีคนถามแม่ว่าแล้วเสถียรธรรมสถานจะสร้างสาขา ขยายสาขาไหม แม่บอกไม่ เราจะเป็นหยดน้ำเล็กๆ ที่จะบวกกับคนในโลกนี้ เพราะเราเชื่อว่า 1+1 มันมหาศาล ก็คือการมีชีวิตที่ไม่เบียดเบียน ไม่ชั่วอีกเลย ใช้สติปัญญาของเราในการทำยุทธศาสตร์นี้ ที่จะพ้นทุกข์ร่วมกัน โดยใช้ความสนุกสนานนี้เป็นเครื่องมือในการพ้นทุกข์ร่วมกัน
วิคตอเรีย โฮลท์ เธอเปรียบเหมือนน้องสาวทางธรรมของแม่ชีศันสนีย์ ธรรมะจัดสรรให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณ เพื่อสินติภาพโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และหลังจากนั้นสารคดีชีวิตลูกผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกเปิดเผยขึ้นทีละเล็กทีละ น้อย จนกลายเป็นเรื่องราวที่จะออกฉายพร้อมกันใน 60 ประเทศทั่วโลก
คุณแม่พบกับ วิคตอเรีย โฮลท์ ผู้เขียนบท กำกับ และอำนวยการสร้างหนังเรื่อง A Walk of Wisdom ได้อย่างไร
“เมื่อปี ค.ศ.2002 (พ.ศ. 2545) แม่ได้ติดตามคณะสงฆ์ไทย 11 รูปไปงานประชุมสุดยอดสันติภาพโลกที่นิวยอร์ก ซึ่งเขาเชิญผู้นำทางศาสนาทุกศาสนาเลยนะประมาณซัก 1,000 กว่าคน หนึ่งในนั้นคือแม่ แต่แม่อยู่ในชนกลุ่มน้อยของการประชุมคราวนั้น ก็คือมีผู้หญิงสัก 15 % แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่หนักแน่น แล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเรื่องสันติภาพ 15 % ก็รวมตัวกันไว้ในการทำงานครั้งนั้น แล้วเรานัดหมายกันว่าอีก 2 ปี เราจะทำงานกับผู้หญิงทั่วโลกที่เป็นผู้นำทางด้านศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อ สันติภาพโลก
อีก 2 ปีต่อมา แม่ก็เป็นประธานร่วมจัดเลย โดยแผนงานถูกสร้างขึ้นที่เสถียรธรรมสถาน โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สนับสนุนแม่ให้นำเสียงของผู้หญิงไปรวมกันที่ตึกสันติไมตรี จากนั้นแม่ก็นำเสียงของผู้หญิงไปสู่เวทีโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อตุลาคม ปี 2002 ในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อสันติภาพโลก (The Global Peace Initiative of woman Religious and Spiritual Leaders) ซึ่งทำให้แม่ได้เจอกับ วิคตอเรีย โฮลท์ เธอเป็นสื่อมวลชนชาวอังกฤษที่ต้องสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ทำงานเรื่องสันติภาพ 30 คน ซึ่งคัดผู้หญิงที่โดดเด่นจาก 500 กว่าคนใน 60 ประเทศ
วิคตอเรียเล่าว่า ทันทีที่แม่เดินเข้าไปในห้อง เขาก็พบกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเลย เขาบอกว่า เขาฟังการสัมภาษณ์ของแม่แล้วตกหลุมรักเลย เขาเลยคิดที่จะทำภาพยนตร์ที่จะออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ของอเมริกาชื่อว่า Extraordinary Woman (ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ธรรมดา) แล้วก็คัดผู้หญิง 13 คน หนึ่งในนั้นคือแม่ แล้วระหว่างการสัมภาษณ์ผู้หญิง 13 คน เธอก็ยกกองถ่ายมาถ่ายทำแม่ที่เสถียรธรรมสถาน ปรากฏว่าข้อมูลแม่เยอะ เขาก็เลยขอทำเป็นภาพยนตร์สารคดีชีวิตแม่ก่อน
ภาพยนตร์ A Walk of Wisdom เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่สำเร็จ แล้วการที่เขาทำงานกับแม่ตั้งแต่ค.ศ. 2002-20004 ในปี 2005 หนังก็เสร็จการประกวดในปลายเดือนมกราคม เข้าตากรรมการผ่านเข้ารอบสุดท้าย 1 ใน 10 สารคดียอดเยี่ยมในงาน Santa Barbara Film Festival 2005 ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเห็นได้ชัดคือสารจากวิคตอเรียที่เธอเขียนถึงหนังเรื่องนี้ เธอเปลี่ยนแปลงก่อนเลย คนทำได้ก่อน
คุณวิคตอเรียเปลี่ยนแปลงอย่างไรคะ ในระหว่างการทำงานสารคดี 2 ปีกับคุณแม่
คือวิคตอเรียต้องเก็บข้อมูลของแม่ใน 2 ปีนี้ ไม่ว่าแม่จะเดินทางที่ไหน ไม่ว่าแม่จะมีการสื่อสารกับใครในโลกนี้ เขาก็จะเห็นสิ่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องความรักไม่มีเงื่อนไข วิคตอเรียก็มีปัญหากับคุณพ่อ แต่เขาเห็นแม่ไม่มีปัญหากับคุณพ่อเลย คือชีวิตของแม่ใน A Walk of Wisdom จะเริ่มตั้งแต่ชีวิตแรกเกิดของแม่ไปจนถึงชีวิตนานาชาติ
วิคตอเรียเขียนสคริปต์ตามที่แม่เป็น ปรากฏว่า เขาสงสัยมากเลยว่า แม่เป็นลูกที่คุณพ่อเดินมาหาแม่ในวันที่แม่เกิดเพื่อปฏิเสธแม่ว่าไม่ใช่ลูกพ่อ แต่ทำไมปัจจุบันแม่ยังรักคุณพ่อได้อย่างไม่มีเงื่อนไข จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คุณพ่อสิ้น แม่เป็นคนที่เข้าไปเพื่อที่จะทำให้คนในครอบครัวของเรายังมีความรักอย่างแน่นแฟ้น เธอก็สงสัย
ตอนไหนที่สะเทือนใจที่สุดคะ
คนร้องไห้ก็ตอนที่แม่ไปเยียวยาคุณพ่อ มีฉากหนึ่งที่แม่บอกเลยว่า คุณพ่อมาเพื่อปฏิเสธฉัน และอีกฉากหนึ่งที่คุณพ่อขอโทษแม่
รบกวนคุณแม่เล่าเรื่องวิคตอเรียให้คนไทยรู้จักกันหน่อย
คือเดิมทีวิคตอเรียเป็นนางแบบของอังกฤษ ทำงานกับบริษัทโฆษณาเช่น J.Walter Thompson และ KLP Marketing International แล้วก็มาเป็นผู้เขียนบทในฮอลลีวู้ด คือเขาเก่งมากและเข้าใจคนอเมริกันและฝรั่งอย่างดี เวลาเขาเขียนบทเขาจะเก็บอารมณ์ของชีวิตในแต่ละขั้นตอนของแม่ให้เข้าไปคลุกใจ คนอเมริกัน
'คลุกใจ' เป็นอย่างไรคะ
คือชีวิตของแม่เป็นอะไรที่เรียบง่าย วันๆ ก็เป็นอย่างนี้ แต่เขามาเอาความเรียบง่ายของแม่มาทำให้เกิดสีสัน แต่ในสีสันนั้น มันกลับกลายเป็นการสอน คือชีวิตแม่เป็นการสอนคนดูแบบไม่ต้องสอน เหมือนแม่เป็นฮีโร่ของหนัง เป็นตัวเดินเรื่อง แล้วชีวิตของแม่ในแต่ละขั้นตอนทำให้คนดูกลับไปถามตัวเอง
สตีเฟน ไซมอน ซึ่งเป็นผู้กำกับหนังที่มีชื่อเสียงสองเรื่องคือ What Dreams May come และ Somewhere in Time เขาบอกว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วสามารถดูได้อีก 20 ปีก็ไม่เบื่อ แล้วทุกครั้งที่ดูจะได้สารที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ เรียบง่ายเหมือนการภาวนา
ก็เพราะคุณแม่รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไง ผู้หญิงที่เลี้ยงแม่มาประเสริฐที่สุด เธอไม่เคยตำหนิคนที่เธอรักเพื่อให้แม่เกลียดชังเลย คือผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงบ้านที่สอง ตั้งท้องตามลำพัง ขณะที่สามีมาตรวจราชการแล้วก็แวะมาหาคุณแม่เพียงคืนเดียว ผู้หญิงคนนี้ก็ท้องขึ้นมา มันก็คงยากที่ผู้ชายจะบอกว่านี่คือลูกฉัน แต่แม่เข้าใจ คุณแม่อดทนมากไหมที่ไม่ทำแท้ง แล้วก็รักษาครรภ์มาอย่างดีด้วยความรัก ความปรารถนาให้ลูกสมบูรณ์ที่สุด เกิดมาแล้วแม่ก็ยังถนอมเราเหมือนเป็นจักรวาลเลย ไม่เคยทำให้ต้องรู้สึกว่าทำไมเราถึงไม่มีคุณพ่อ ก็เพราะเรามีแม่ที่เป็นทั้งคุณพ่อและคุณแม่อย่างเต็มเปี่ยม ที่สำคัญก็คือ คุณแม่ไม่เคยนินทาคุณพ่อให้ได้ยิน แม่จึงรู้สึกว่ามีคุณพ่ออยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่กำลังสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เพราะว่าสามีไปมีผู้หญิงอื่นแล้วกำลังตีอกชกตัว เรียกร้องความสนใจจากลูก ต้องคิดใหม่ แม่อยากให้มาดู A Walk of Wisdom จะได้เข้าใจว่า ถ้าเราทำอย่างนั้น เราทำลายสิ่งที่เรารักคือหัวใจของลูก แต่ถ้าเผื่อว่าเรายังรักลูก เราต้องไม่ทำลายตัวเรา ไม่ปล่อยให้เราอึดอัดไปกับสิ่งที่ต้องเผชิญ แต่ต้องรู้ตื่นและเบิกบานในสิ่งที่เผชิญเพื่ออะไร เพื่อเราจะได้มีโอกาสเลี้ยงลูกเราให้สมบูรณ์ที่สุด
สตีเฟน ไซมอน เล่าว่าอย่างไรอีกคะ
เขาบอกว่า ตอนที่เขาดูครั้งแรก เขาจมอยู่กับการย้อนกลับมาที่ตัวเองอีกนานเลย คือหนังจบแล้วแต่ตัวเขายังไม่จบ เขาบอกว่า เพลงในเรื่อง ทำให้กลับมาสู่ปัจจุบันขณะ แล้วมีความสุขเลย เพลงความสุขเล็กๆ ในใจฉัน เป็นเพลงที่ คุณผุสชากับคุณธเนส สุขวัฒน์ ช่วยแม่ แล้วเพลงนี้ไปดังทั่วโลก มุมกล้องก็มีส่วน สคริปต์ก็มีส่วน คำสอนก็มีส่วน ความสนุกก็มีส่วน
อีกวันหนึ่งเขาเดินลงมาแล้วลูกเขาดู ก็คิดว่าจะดูแวบหนึ่ง แต่พอดูแล้วก็ดูจนจบอีกครั้งหนึ่ง เขาเลยแนะนำให้กับคนที่จะดูหนังเรื่องนี้ใน 60 ประเทศว่า ขอให้ดูหนังอย่างไม่มีเสียงโทรศัพท์รบกวนคุณ ขอให้คุณหามุมเงียบๆ แล้วดูมัน เหมือนดูละครแล้วย้อนดูตัว
คุณแม่คิดว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เห็นภาพของแม่ชีไทยเป็นอย่างไรคะ
คือแม่ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แม่รู้คือว่า แม่กำลังเดินทางไปอย่างคนที่พระองค์ได้มอบมรดกไว้คือ ‘เธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน’ มันเป็นอะไรที่วิคตอเรียทำหนังเรื่องนี้ด้วยหัวใจและเป็นการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตเพื่อการเดินทาง
มีคำหนึ่งที่วิคตอเรียกล่าวว่า คนอเมริกันหรือชาวตะวันตกขาดแคลนข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสนา คล้ายกับที่ลูกศิษย์หลวงปู่ชาที่เป็นชาวต่างชาติหลานท่านก็บอกว่า สิ่งเดียวที่เขาสามารถรู้จักพุทธศาสนาได้คือหนังสือ จากหนังสือเขาจึงเดินทางมาเอเชีย มาอินเดีย และมาไทย ขณะที่คนไทยบางครั้งดูเหมือนว่าใกล้เกลือกินด่าง
คือถ้าเผื่อเรามาทำงานร่วมกัน ใครถนัดอะไรก็พยายามสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองถนัด แม่คิดว่า ปัจจุบันเรามีคนที่มีความสามารถในการเผยแผ่ธรรมะเยอะ แต่เรายังไม่ได้ทำงานร่วมกัน มันเหมือนเรายังไม่เป็นปึกแผ่นเพราะเรายังกระเด็นกันคนละที่สองที่ แม่คิดว่า A Walk of Wisdom จะเป็นพลุอันหนึ่งที่จุดขึ้นไปแล้วให้คนมองเห็นเป็นตัวอย่าง จากนี้เราคงต้องกลับมาแล้วบวกกันมากขึ้น
พุทธศาสนาในฝ่ายเถรวาทยังไม่มีภาพยนตร์อะไรที่ออกไปได้อย่างกว้างขวาง เราก็ต้องเห็นว่าคนต้องการนะ จากนี้ไป เราจะเผยแพร่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ต้องใช้จังหวะที่คนต้องการในเทคนิคและวิธีการที่เข้าถึงเขานะ คือใครเขียนดีก็เขียนไป ใครพูดดีก็ส่งเสียงไป ใครอยู่หน้าจอทีวีได้ก็อยู่ไป ใครที่สามารถอยู่ในภาพยนตร์ได้ก็ทำไป หรือเว็บไซต์ ซึ่งแม่คิดว่า ช่องทางตอนนี้ทั่วถึง เราสามารถเข้าถึง คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทุกๆ ทาง
แต่วิธีการหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มาก คือการทำให้ดู แม่อาจจะโชคดีที่ผ่านโลกมาก่อน เพราะฉะนั้นเวลาที่แม่ได้เรียนรู้กับชีวิตใน 25 ปี แม่ได้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท้าทายเราว่ามนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยการฝึกฝน และด้วยการพึ่งตนเอง และเมื่อเราท้าทายตัวเราอย่างที่พระองค์เคยท้าทาย แล้วเราก็เห็นว่า เมื่อเราเริ่มต้นเฝ้าสังเกต ตามดูจิต รู้จิตให้ติดต่อ มีชีวิตอย่างไม่ปรุงแต่งให้อวิชชาเข้าครอบงำ ความสงบเย็นภายในก็พอจะสัมผัสได้ เมื่อเราสัมผัสกับความสงบเย็นได้ เราก็เชื่อมั่นว่าธรรมะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราได้เห็นผลจากการศึกษาธรรม รู้ธรรมแล้วความทุกข์มันน้อยลงในชีวิตของเรา
เปรียบเทียบชีวิตก่อนบวชกับหลังบวชเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างคะ
แม่อยู่ในโลกปัจจุบัน แม่ทำงานหนักมากกว่าตอนที่แม่บวชอีก แต่ว่าไม่หนักใจเลย แล้วแม่ก็มีความรู้สึกว่าตอนก่อนบวชทำงานเพื่อชื่อเสียงตัวเองทั้งนั้นเลย แต่ตอนนี้ทำงานอย่างคนที่ตัวตนต้องเล็กลง แต่งานกว้างขวาง และมันรักคนได้อย่างชนิดที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเขาจะเป็นดั่งใจหรือไม่เป็นดั่งใจก็ไม่มีความเกลียดชัง แม่จึงมีความรู้สึกว่า ธรรมะเป็นรากฐานของการทำงานที่ทำให้เราหนักแน่น ยิ่งทำงานมาก ปัญหาเยอะ แต่ปัญหาไม่เป็นความทุกข์ของแม่เลยนะ แล้วเราไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้นเวลาเราพบตัวเราว่า เราสงบเย็นได้มากในงานที่มากขึ้นแต่ทุกข์น้อย อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าธรรมศักดิ์สิทธิ์ ทำให้แม่ไม่กลัวอะไร ดังที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เมื่อเธอมีเราเธอจะไม่กลัวอะไร เพราะฉะนั้นแม่ก็ระลึกถึงสภาวะแห่งพุทธะอยู่ตลอดเวลา ระลึกรู้อยู่ในปัจจุบันขณะและตื่นจากอวิชชา และทำงานไปอย่างเบิกบานเพราะความทุกข์ตามมาไม่ถึง แม่ก็ทำไปเรื่อยๆ
ถ้าแม่วางแผนที่จะให้ A Walk of Wisdom มันยิ่งใหญ่ มันคงไม่ได้เป็นอย่างนี้ แม่ก็ทำงานแบบมีความสุขเล็กๆ ในใจ แต่มันไปตามงานของมันเอง มันไปตามความต้องการของคนในโลกนี้ คนต้องการธรรมะ แต่เทคนิคและวิธีการนำธรรมะไปหาเขามันยังไม่ใช่ เราต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีตรงนี้กันหรือเปล่า
นี่คือมิติใหม่ของสารคดีธรรมะ ?
เราต้องมาดูเรื่องนี้กัน แล้วจะเห็นว่า มันเล็ก ๆ แต่ลงลึก มันเกิดคำถามกับผู้ดูที่จะกลับมาถามตัวเองว่า ชีวิตคืออะไร คุณเกิดมาทำไม แล้วคุณคิดว่าชีวิตมีอยู่จริงเมื่อไร ถ้าคุณบอกว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นชีวิตที่คุณสัมผัสได้จริง คุณจะไม่ทอดธุระเลยที่จะเคารพธรรมชาติภายในตัวคุณ ความสุขเล็กๆ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่คุณต้องรักษาเอาไว้ เมื่อคุณกลับมาเคารพธรรมชาติภายใน มันก็ง่ายเหลือเกินที่คุณจะได้มีโอกาสเคารพธรรมชาติภายนอก เคารพบุคคลที่อยู่รายรอบตัวคุณ เคารพธรรมชาติและสรรพชีวิตทั้งหลาย
อีกนานไหมกว่าคนไทยจะได้ดูกัน
ก็คงอีกระยะหนึ่ง ให้เขาจัดการเรื่องลิขสิทธิ์อะไรให้เรียบร้อยก่อน แต่ที่แน่ๆ 60 ประเทศจะได้ดูกันในไม่ช้านี้ และแม่ตั้งใจว่า เราจะนำมาฉายให้แม่ชีดู และนำเข้าฉายในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศด้วย
สัมภาษณ์ โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
กรุงเทพธุรกิจ เสาร์สวัสดี ฉบับที่ 301 วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548
Comments